http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2278555/A2278555.html everest2k1@yahoo.com [ 23 พ.ค. 46 15:54:28 A:203.148.252.248 X:210.203.176.209 ] *****เปลือยแนวคิดฉากสำคัญใน Matrix โป๊มากครับ (ยังไม่ดูห้ามเข้ามาครับ) ภาพยนต์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์แห่งปีและเป็นที่วิพากย์กันในวงกว้างทั้งในสังคมคนดูหนังทุกระดับ และสังคมไซเบอร์ ในยุค '80 นั้นโลกมีภาพยนต์ซีรี่ส์อย่าง Star Wars ของลูคัส เป็นหนังไซไฟที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำนวนมากในช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นยุคสมัยอันรุ่งเรือง แห่งการแสวงหาเสรีของคนหนุ่มสาว The Matrix อาจจะเป็นสัญลักษณ์ภาพ(icon)แห่งยุคสมัยปัจจุบัน ในอันที่จะทำให้เราได้ลองคิดหรือสังเกตความเป็นไปในโลกที่ข้อมูลเหมือนเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต หรืออาจเป็นเราเองที่ถูกกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตด้วยเครื่องมือที่เรียกว่าข้อมูลข่าวสาร ***Spoilers*** สำหรับผู้ยังไม่ได้ชมภาพยนต์ขอให้หลีกเลี่ยงการอ่านต่อไปนี้ เพราะจะมีการเปิดเผยเนื้อหากันแบบโจ่งแจ้งสุดๆอันจะทำให้สูญเสียอรรถรสในการชมอย่างสาหัส แต่ขอให้กลับมาอ่านหลังจากชมเรียบร้อยแล้วจะได้อรรถรสอย่างประเมินค่ามิได้ ***Spoilers*** ฉาก Neo vs. The Architect ฉากอันเป็นที่มาของชื่อภาคต่อ…Reloaded และเป็นฉากที่เข้าใจได้ยากที่สุดฉากหนึ่ง ในเรื่องถ้าคุณดูฉากนี้ครั้งแรกแล้วแทบไม่เข้าใจอะไรเลยก็ไม่ต้องตกใจครับ นั่นแสดงว่าคุณเป็นคนปกติเหมือนคนอีกเป็นล้านทั่วโลก เพราะบทของ Architect (บาง webboard ตั้งชื่อว่าผู้พัน KFC)นั้นพูดเร็วมากจนไม่มีเวลาคิดตาม แถมการอ่านบทบรรยายไทยยิ่งพาให้ผู้ชมเข้ารกเข้าพงไปใหญ่ (บทบรรยายไทยที่ปรากฏตลอดทั้งเรื่องมีปัญหามากครับ ขอโวย ลองไปหาอ่านตามกระทู้ต่างๆดูนะครับ ว่าผู้คนเขาสรรเสริญคนทำ subtitle กันซะอ่วมเลยครับ) หากใครฟังเพียงรอบเดียวแล้วเข้าใจได้ทันที แสดงว่าถ้าไม่เป็นญาติกับคนเขียนบทก็ต้องโกหกแน่นอนครับ เพราะแม้แต่ Neo เองก็ยังออกอาการงงแถมไม่ค่อยเชื่อด้วยซ้ำไป (สังเกตอารมณ์ Neo ในจอภาพ) ทีนี้เรามาลองปะติดปะต่อเรื่องราวกันดูครับ เริ่มจากวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกันก่อน (1)ข้อเท็จจริงแรกคือ Architect ได้อธิบายตัวตนของ Neo ว่าเป็นผลลัพท์ของข้อบกพร่องที่ได้จากค่าสมการแปรผันอันเกิดจากการสร้างระบบ Matrix โดยผู้สร้างเองก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลลัพท์ดังกล่าวได้ จึงทิ้งไว้เป็นค่าติดตัวแปรที่ถูกคำนวณทิศทางไว้ล่วงหน้า (2)ข้อเท็จจริง 2 Architect ได้บอกในสิ่งที่ทั้ง Neo และไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยรู้ว่า Matrix ปัจจุบันดำเนินมาถึงเวอร์ชัน 6 นั่นหมายความว่าข้อบกพร่องลักษณะเดียวกับ Neo เคยเกิดมาแล้ว 5 ครั้ง และมี The One ที่ได้เข้ามาในห้องนี้ก่อน Neo ถึง 5 คนมาแล้ว (3)ข้อเท็จจริง 3 Architect อวดอ้างถึงความสมบูรณ์แบบของ Matrix เวอร์ชันแรกสุด ซึ่งกลับกลายเป็นความล้มเหลวสัมบูรณ์ จนภายหลังต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยลดทอนความเป็นเหตุเป็นผลลงและทบทวนผลที่เกิดจากจิตใจมากขึ้น เหมือนดังมนุษย์ที่บางครั้งสิ่งที่เราคิดหรือตัดสินใจทำลงไปโดยที่ปราศจากเหตุผลเป็นพื้นฐาน Matrix จึงถูกแก้ไขใหม่ โดยออกแบบโปรแกรมเพื่อค้นหาคำตอบและศึกษาสภาพจิตใจมนุษย์ อันเป็นที่มาของเทพพยากรณ์ (Oracle) (4)ข้อเท็จจริง 4 Oracle ซึ่งเปรียบได้กับมนุษย์ผู้มีตรรกญาณชั้นเทพได้ค้นพบข้อเท็จจริงว่า 99.9% ของปัจเจกชนยอมรับอาณัติโดยยอมอยู่ภายใต้ระบบ ตราบใดที่พวกเขายังมีโอกาสได้รับทางเลือก (Choices) ในหลากหลายแนวทาง แม้จะเป็นทางที่ปราศจากหลักการและความเป็นไปได้อย่างที่สุด ข้อเท็จจริงดังกล่าวขัดแย้งกับพื้นฐานที่อยู่บนหลักการและเหตุผลของระบบ Matrix อย่างรุนแรง จนอาจเป็นภัยคุกคามต่อระบบ และยังมีกลุ่มจำนวน 0.1% ทีไม่ยอมรับระบบโดยสิ้นเชิง ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กน้อยมากแต่ก็ไม่ต่างจากปลายหอกหลาวที่เป็นภัยมหันต์ อันเป็นการพาดพิงถึงการมีอยู่ของ Zion เนื้อหาข้างต้นเป็นครึ่งช่วงแรกของการสนทนา ทีนี้เราจะมาลองวิเคราะห์กันดูว่าหนังพยายามจะบอกหรือเราสามารถคิดอะไรกันไปได้บ้าง (5) ข้อคิดเห็น 1 ประเด็นที่น่าสนใจมากคือกระบวนการออกแบบ Matrix ที่กล่าวว่าความสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดกลับกลายเป็นความล้มเหลวของทั้งระบบ หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีแนวความคิดที่พยายามอธิบายสังคมมนุษย์โดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ ตามกฎของอุณหภูมิพลศาสตร์ (Entropy) ที่กล่าวว่าหากความหนาแน่นของระบบโดยรวม(ประชากร+กิจกรรม)เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีวัดความยุ่งเหยิงของระบบ(ปัญหาสังคม)หรือค่าเอนโทรปี ก็จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และการจัดระเบียบส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบให้มีค่าเอนโทรปีต่ำลงนั้น จะต้องชดใช้ด้วยค่าเอนโทรปีโดยรวมของระบบที่มากขึ้นกว่าปกติเสมอ สังคมที่ถูกตีกรอบให้อยู่ในระบบมากเกินไปจักต้องมีนักปฏิวัติเกิดขึ้นเสมอ (Revolutionist) เป็นคำอธิบายว่าทำไมโลกจึงมีรัฐบุรุษเช่น เช กุวารา, ดร. ซุนยัดเซ็น, อองซาน ซูจี หรือผู้นำการรัฐประหารในประเทศที่มีอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จ เหตุการณ์โลกปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่สามารถอธิบายอย่างง่ายได้ด้วยกฎดังกล่าว ลองดูนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในความพยายามที่เรียกสวยหรูว่า จัดระเบียบสังคมโลกโดยพยายามลดค่าเอนโทรปี(การปราบปรามแหล่งผู้ก่อการร้าย) ในส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกเช่น อิรัก อัฟกานิสถาน คาบสมุทรเกาหลี ส่งผลให้ต้องชดใช้ด้วยการก่อการร้าย (Terrorism) ที่ระบาดอย่างหนักไปทั่วระบบสังคมโลก ไล่ไปตั้งแต่ บาหลี ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย ภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และการเตรียมพร้อมรับมือการก่อการร้ายถึงระดับ 3 ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่กล่าวมาอาจจะลองเขียนเป็นความสัมพันธ์ง่ายๆดังนี้ ระบบโดยรวม-------------------The Matrix-----------------Global Social ค่า Entropy --------------------Zion-------------------------Terrorism Entropy สูงสุด-----------------The One--------------------Revolutionist (6) ข้อคิดเห็น 2 Oracle พบว่าบุคคลส่วนใหญ่ยินยอมอยู่ภายใต้การปกครองโดยมีทางเลือก (Choices) เป็นเงื่อนไข จุดนี้เป็นการบอกเล่ากลายๆ ถึง Matrix เวอร์ชันแรกสุดซึ่ง Architect เล่าว่ามีความสมบูรณ์ของระบบสูงสุด ถ้าจะมองความหมายในเชิงรัฐศาสตร์ คำว่าสมบูรณ์แบบนั้นหมายถึงความมีเสถียรภาพที่เท่าเทียมกันทั้งระบบ อันเป็นแนวคิดอุดมคติของลัทธิฟาสซิสต์ โดยอุดมการณ์ของสังคมนิยมคนทุกคนต้องทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างของรัฐ ทุกอย่างรัฐเป็นผู้จัดสรรให้ เพื่อต้องการให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ในยุคเริ่มแรกของการปกครองประเทศด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ตัวอย่างที่เห็นชัดคืออดีตสหภาพโซเวียตเดิมหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีความเข้มแข็ง ทั้งทางทหารและเทคโนโลยีในระดับที่ทัดเทียมหรือก้าวล้ำกว่าสหรัฐอเมริกาซึ่งยึดระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการอวกาศและแสนยานุภาพทางทหาร แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาวะที่ยากจนข้นแค้นกันทั่วไป เพราะทุกคนทำงานเพียงได้เงินเดือนเท่านั้นทำมากทำน้อยทุกคนได้เงินเดือนเท่ากันหมด ใครคิดอะไรออกมาได้รัฐก็เอาไปหมด และทรัพยากรทั้งหลายแหล่ก็ถูกนำไปใช้ค้ำจุนระบบให้มีเสถียรภาพสูงสุด หรือมีเอนโทรปีของระบบโดยรวมต่ำมาก ขณะที่ประชาชนยังจนเหมือนเดิมเพราะไม่มีโอกาสหรือทางเลือกอื่น (Choices) จนเมื่อถึงจุดที่เกิดค่าเอนโทรปีในระบบย่อย(ความยากจน, การประท้วงนัดหยุดงาน, การเรียกร้องสิทธิจากรัฐ ฯลฯ) ลุกลามไปทั่วจนเป็นผลให้ระบบของ Matrix เวอร์ชันแรกล่มสลาย หลังยุคสงครามเย็นโลกเต็มไปด้วยกระแสประชาธิปไตยโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีทางเลือก (Choices) แม้ทางเลือกจะถูกกำหนดไว้แล้วโดยพรรคการเมืองที่มีอำนาจ Matrix ได้ออกแบบระบบใหม่โดยมีทางเลือก (Choices) และหลักการเดียวกันแต่ก็ยังคงเหลือตัวแปรไม่เข้าพวกอีก 0.1% คือ Zion โลกประชาธิปไตยตะวันตกเรียกกลุ่มที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้แนวคิดสากลและเป็นศัตรูกับระบบทุนนิยมว่า ลัทธิก่อการร้าย (Terrorism) ทีนี้เราลองมองการกระทำของ Neo และพรรคพวกจากมุมมองของผู้อาศัยใน Matrix บ้าง ซึ่งมีสารพัดได้แก่การสร้างความปั่นป่วนในระบบคอมพิวเตอร์, การพยายามล้วงข้อมูลเบื้องลึกจากบุคคลระดับสูง(Oracle), การลักพาตัว Keymaker, การก่อวินาศกรรมโรงไฟฟ้า, การบุกรุกสถานที่, ขัดขืนและหลบหนีการจับกุม อันเป็นผลให้พลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตและกระทำการอื่นๆอันเป็นอันตรายต่อระบบ ทั้งหมดนี้มันเป็นการกระทำเยี่ยงผู้ก่อการร้ายชัดๆ คำถามมีอยู่ว่าถ้าเราซึ่งเป็นผู้ชมเชื่อและเห็นด้วยในสิ่งที่ Neo ทำลงไปโดยใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เราจะมีสิทธิอะไรที่จะประณามการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลกว่าเป็นความเลวร้าย บางท่านอาจแย้งว่าความรุนแรงในหนังไม่ได้ทำให้ใครตายจริงๆ แต่อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงแต่ละยุคสมัยล้วนเต็มไปด้วยสงครามและความรุนแรง ถ้าเราได้เลือกที่จะยอมรับสงครามใน Matrix ก็จงยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสงครามและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นสิ่งที่เราได้เลือกกันมาทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นเพียงบทวิเคราะห์การสนทนาครึ่งช่วงแรกเท่านั้นนะครับ ผมเองหลังจากเขียนจบและอ่านทบทวนก็แปลกใจมากทีเดียวที่ช่วงเวลาไม่ถึง 2 นาทีนั้น พี่น้องวาชอว์สกี้จะสามารถวิพากษ์สังคมยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมได้อย่างลึกซึ้ง นอกเหนือจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับกลศาสตร์, คอมพิวเตอร์ และศาสนาให้ได้ตีความกันอีก ขอให้พยายามอ่านกันในท่อนต่อไปนะครับ -ต่อครับ (7) ข้อเท็จจริง 5 Architect ชี้ชะตากรรมสุดท้ายของ Zion ที่จะต้องถูกทำลายลงเป็นครั้งที่ 6 โดย Neo เป็นตัวแปรหลักที่จะต้องกลับไปที่ source เพื่อบรรจุ code ก่อนที่จะคัดเลือกมนุษย์ 23 คนจาก Matrix อันประกอบด้วยหญิง 16 ชาย 7 เพื่อสร้าง Zion ขึ้นมาใหม่ หากส่วนหนึ่งส่วนใดของกระบวนการดังกล่าวล้มเหลว นั่นหมายถึง การสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ (8) ข้อเท็จจริง 6 ทางเลือก (Choices) ของ Neo มีเพียง 2 ทางคือ (6.1) ประตูขวาที่จะพา Neo กลับไปสู่ source ตามขั้นตอนที่ The One ทั้ง 5 ในอดีตเคยปฏิบัติมาแล้ว (6.2) ประตูซ้ายพา Neo กลับเข้าสู่ Matrix เพื่อช่วย Trinity พร้อมกับการดับสูญของมนุษยชาติ Neo ได้เลือกทางไหนก็คงทราบกันอยู่แล้ว เหตุการณ์ช่วงนี้มีการตีความและถกเถียงกันดุเดือดมาก โดยเฉพาะใน webboard ต่างประเทศลองมาอ่านความคิดเห็นหลักๆที่ผมเรียบเรียงไว้กันดูนะครับ (9) ข้อคิดเห็น 3 เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่าตัวตนแท้จริงของ Zion คืออะไรกันแน่ ความเป็นไปได้อาจเรียบเรียงแยกย่อยได้ดังนี้ (3.1) Zion เป็นโลกจริงที่เกิดจากการสร้างโดยเจตนา (Purpose)ของ Machine หาใช่เป็นเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ หากมองระบบ Matrix ตามกฎของ Entropy, Zion คือค่า Entropy หรือปริมาณ 0.1% ที่ Matrix และ Oracle ตีค่าเป็นปัญหาที่จำต้องยอมรับให้เกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหา: ดังนั้น Matrix จึงต้องสร้าง Zion เพื่อเป็นแหล่งถ่ายเทปัญหาดังกล่าว หรือเป็นการถ่ายเทความร้อนออกจากระบบ และขอกล่าวเพิ่มเติมว่าสังคมใน Zion ก็อยู่ภายใต้กฎของ Entropy ด้วยเช่นกัน จนเมื่อค่า Entropy ภายใน Zion สูงขึ้นถึงค่าสูงสุดจนทำให้เกิด The One (Revolutionist) อันเป็นจุดที่ผมเชื่อว่าแท้จริงแล้ว Neo หรือ The One เป็นโปรแกรมที่ Matrix คำนวณไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นดัชนีปัญหาของระบบ หรือเป็นตัวกำหนดเวลาเพื่อทำการ Reset หรือ Reload ระบบทั้งหมดขึ้นมาใหม่ และเหตุผลที่ต้องทำลายผู้คนใน Zion ก็เพื่อให้ค่า Entropy ของระบบกลับไปสู่ระดับต่ำสุด แล้วจึง Restart ระบบขึ้นมาใหม่โดยถ่ายเทพลเมืองใน Matrix 23 คน กลับออกมาสร้าง Zion ขึ้นมาใหม่ เวียนว่ายเป็นวัฏสงสาร (Loop) ดังนั้นทุกอย่างที่ Neo กระทำหรือได้เลือกที่จะทำ จึงอยู่ภายใต้การคำนวณล่วงหน้าโดย Matrix, ทั้ง Oracle เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ค้ำจุนแนวทางของระบบเท่านั้น เหตุผลในการช่วยเหลือให้ข้อมูลแก่ Neo ก็เป็นเรื่องที่ถูกคำนวณไว้แล้ว เพื่อให้ Neo ไปถึงช่วงเวลาที่จะต้องเลือกระหว่างประตูสองบาน ข้อโต้แย้งแนวคิดข้างต้นที่ผมคาดว่าจะมีได้แก่ : ในกรณี 0.1% ที่เป็นปัญหา ทำไม Matrix ไม่แก้ปัญหาด้วยการกำจัดหรือฆ่ากลุ่มดังกล่าวทิ้งเสียโดยไม่ต้องสร้าง Zion ให้เป็นปัญหา คำอธิบายมีอยู่ว่า เพราะนั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาตามพุทธปรัชญา เราอาจกำจัดผู้ก่อการร้ายได้แต่ศรัทธาหรืออุดมการณ์นั้นไม่เคยตาย สสารหรือพลังงานย่อมไม่มีวันสูญสลายเพียงแต่เปลี่ยนรูปไปตามกาล การฆ่าหรือความตายจึงมิได้เป็นหนทางของการดับทุกข์ กลับจะยิ่งทำให้ Entropy โดยรวมของระบบสูงขึ้นไปอีก Zion จึงเป็นกรรมของ Matrix โดยแท้ (3.2) Zion เป็น Matrix ที่ซ้อน Matrix อีกชั้นหนึ่ง (The 2nd Matrix, Matrix within Matrix, Metamatrix) เป็นแนวคิดที่ร่ำลือกันไปใหญ่โตมากทาง webboard โดยข้อคิดเห็นนั้นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือมีทั้งผู้สนับสนุนและไม่เห็นด้วยโต้เถียงกันเป็นที่เผ็ดร้อนมาก ลองมาดูกันว่าผู้สนับสนุนมีแนวคิดอย่างไร (3.2.1a) พวกที่เห็นด้วยนั้นอ้างฉากที่ Neo สามารถหยุดปลาหมึก (Sentinels) ได้ด้วยมือเปล่า ทั้งที่อยู่ภายนอก Matrix (unplugged) ซึ่งเป็นฉากที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนและทิ้งปมไว้ได้เหนือชั้นมากของหนังภาคนี้ ผู้สนับสนุนให้ความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ Neo จะควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในสภาพมนุษย์ธรรมดาได้ จะทำได้ก็เมื่ออยู่ใน Matrix เท่านั้น ดังนั้นหากคิดในเชิงตรรกะจะมีวิธีอธิบายของเหตุดังกล่าวคือ โลกภายนอกและ Zion คือ Matrix แห่งที่สอง หรือซ้อนกันอยู่ แนวความคิดประเภทที่ว่าระบบซ้อนระบบ เป็นเรื่องธรรมดามากในนิยายวิทยาศาสตร์ ถ้าใครเคยอ่านนิยายชุด สถาบันสถาปนา (The Foundation) ของ Isaac Asimov ก็จะเห็นว่าแนวคิดบางอย่างของหนังกับนิยายชุดนี้คล้ายกันมาก เช่นเรื่องของโปรแกรมที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ต่างแนวคิดวิชาอนาคตศาสตร์(Futurism), The Architect บิดาแห่ง Matrix แทบจะถอดแบบมาจาก ฮาริ เซ็ลด้อน บิดาแห่งสถาบันสถาปนาก็ไม่ปาน ดังนั้น Matrix ที่ 2 จึงเทียบเคียงได้กับสถาบันสถาปนาแห่งที่ 2, ความสำคัญของระบบแห่งที่ 2 ถ้าอธิบายโดยใช้สถาบันสถาปนาเป็นกรณีตัวอย่างจะพออธิบายได้ดังนี้ ระบบแห่งที่ 2 เปรียบได้กับระบบที่ทำหน้าที่อุดรอยรั่วของระบบที่ 1 และคอยควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามแนวทางที่วางไว้ ในวิชาอนาคตศาสตร์มีทฤษฎีที่อ้างว่าสามารถพยากรณ์หรือกำหนดอนาคตของสังคมโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่กับลำดับเหตุการณ์ความเป็นเหตุและผล (Cause & Effect) ประเทศไทยเราก็สนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยนะครับ ด้วยการก่อตั้ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เมื่อ พ.ศ. 2527 ทีนี้หาก Matrix ควรได้รับการออกแบบบนพื้นฐานของวิชาอนาคตศาสตร์ ซึ่งก็คือวิชาสถิติประยุกต์เข้ากับแนวทางเศรษฐศาสตร์ระดับมหัพภาค และประเมินความเป็นไปได้ต่างๆด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ นั่นแหละครับจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่ Matrix จะสามารถทำนายการกระทำต่างๆ ของกลุ่มผู้คนใน Matrix หรือ Zion ได้ ฟังดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อผิดพลาดอะไรใช่ไหมครับ แต่การพยากรณ์ดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะสังคมระดับมหัพภาคเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้กับปัจเจกชนที่เกิดขึ้นมาอย่างผิดประหลาด เช่นพวกมนุษย์กลายพันธุ์, อดอฟ ฮิตเลอร์ หรือบรรดาอัจฉริยะในรอบ 100 ปี บุคคลเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อทิศทางของระบบให้ผิดเพี้ยนไปได้ โดยที่ระบบที่ 1 ไม่สามารถจัดการได้เนื่องจากคุ้นเคยแต่การแก้ปัญหาที่ถูกพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น ระบบแห่งที่ 2 จึงมีความจำเป็นที่จะต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอันผิดธรรมดานี้ และปรับให้ทั้งระบบกลับเข้าสู่แนวทางเดิม ต่อไปลองมาคิดกันดูว่าปัจเจกชนนั้นน่าจะเป็นใคร Neo หรือเปล่า? เนื่องจากมีพลังเหนือคนทั่วไป ไม่ใช่แน่ครับ Neo นั้นถูกพยากรณ์ถึงการมีอยู่จริงไว้แต่แรกแล้ว โดยการยืนยันของ Architect และตามค่าของ Entropy (ย้อนไปอ่านข้อคิดเห็น 1) ในหนังนั้นมีอยู่ปัจเจกเดียวที่ผิดไป ใช่แล้วครับ Agent Smith ผู้กลายเป็นโปรแกรมอิสระ และมีความสามารถในการทำซ้ำตนเอง *จุดนี้น่ากลัวมากครับ เพราะหาก Smith ทำซ้ำตนเองต่อมนุษย์ทุกคนใน Matrix ระบบทั้งหมดจะพังทันที เนื่องจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์จะไม่มีอีกต่อไปเหลือเพียงภารกิจเดียว (Purpose) คือกำจัด Neo แต่นี่เป็นเรื่องนอกประเด็นจาก Zion แล้วหากมีเวลาผมคงวกกลับมาวิเคราะห์ Agent Smith อีกภายหลัง (3.2.1b) พวกที่ไม่เห็นด้วยว่าจะมี Matrix ซ้อน Matrix ก็ให้เหตุผลกันไปสารพัดครับ มีทั้งเหตุผลข้างๆคูๆประเภทหากเป็นเรื่องจริงก็ต้องตำหนิผู้กำกับว่าเป็นมุขซ้ำซาก ประเภทเดียวกับใน Return of the Jedi ที่ดาร์ท เวเดอร์ ออกมาประกาศประโยคคลาสสิกกับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ว่า "ฉันเป็นพ่อแกนะ" เล่นเอาคนดูหงายหลังกันทั่วโลก แต่ในปัจจุบันมุขแบบนี้มักจะไม่ผ่านการยอมรับจากนักดูหนังอีกต่อไปแล้ว จัดเป็นมุขประเภทเดียวกับ "ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา" และยังมีการแก้ต่างให้ Neo ในฉากหยุดปลาหมึก ประมาณว่า Neo นั้นบรรลุจนถึงขั้นควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตจริงได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถควบคุมพลังได้ดีพอจึงสลบเหมือดเข้าขั้นโคม่า เพราะหากเป็น Matrix ที่ 2 จริง Neo ก็ควรจะใช้พลังได้โดยไม่เกิดผลกระทบกับตนเอง ประเด็นเรื่องการหยุดปลาหมึกนั้นก็สามารถแยกย่อยออกเป็นการตีความทั้งในเชิงกลศาสตร์และปรัชญาได้ โดยแนวคิดที่ล้ำสมัยพอจะอธิบายได้เห็นจะเป็นกลศาสตร์แบบควอนตัม (Quantum Mechanic) ตั้งอยู่บนรากฐานความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก ส่วนแนวคิดด้านปรัชญาก็อาจเปรียบได้กับการสำเร็จมรรคผลในระดับหนึ่ง จากภาวะกายหยาบเป็นกายทิพย์ โดยเป็นพื้นฐานแห่งจิต บรรดา Jedi ทั้งหลายก็อยู่ในข่ายนี้ด้วย หากมีโอกาสผมจะขยายความแต่ละแนวคิดเพื่อการหยุดปลาหมึกอีกภายหลัง หากถามความเห็นของผมเรื่องประเด็น Matrix ซ้อน Matrix หรือ Zion เป็นโลกจริงหรือไม่ ก็ขอบอกว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสองทางตามที่ได้เขียนไว้ข้างต้น โดยที่ผมซึ่งเป็นผู้ชมก็ไม่จำเป็นต้องเลือกที่จะสรุปข้อใดข้อหนึ่งในเวลานี้ สำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้ได้ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ในการสร้างทางเลือก (Choices) ของจินตนาการที่หลากหลายสมดัง Tag line ที่ว่า "Free your mind." Filmlandscape - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ขอบคุณมากครับสำหรับทุกความคิดเห็น ไม่คาดคิดจริงๆครับว่าจะมีผลตอบรับมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เป็นงานเขียนวิจารณ์หนังครั้งแรกของผม (เกร็งมากครับ) ดังนั้นรูปแบบภาษาจึงดูแข็งๆ เป็นแนวหนังประสาวิชาการเกินไปหน่อยแต่จะให้เขียนแบบถูกใจทุกคนก็คงเป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ ถ้าเป็นไปได้ก็จะเป็นกระทู้ที่น่าเบื่อสุดๆเลยครับ เพราะขาดความหลากหลาย และต่อไปก็คงมีโอกาสได้พูดคุยในกระทู้พันธุ์ทิพย์กันบ่อยขึ้นครับ ขออนุญาตแก้ต่างให้ตัวเองก่อนนะครับคงไม่ว่ากัน -จุดที่มีผู้แย้งเรื่องประโยคของ ดาร์ธ เวเดอร์ ว่าจริงๆแล้วอยู่ใน Empire Strike Back ถ้าเป็นจริงก็ต้องขออภัยด้วยครับเพราะผมก็ไม่แน่ใจจริงๆ (เขินครับ) - ผมได้ดู Animatrix เพียงตอนเดียวคือตอนที่ 9 ก็อาจจะยังมองอะไรตกหล่นไปบ้างก็ขอยอมรับครับ -บางกระทู้ที่บอกว่าการที่ผมยกเอาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ มาประกอบก็เหมือนกับพูดๆไป ก็มีแต่คนส่วนน้อยที่จับได้นั้น จะไม่เป็นการดูถูกสติปัญญาผู้เข้ามาอ่านกระทู้ไปหน่อยเหรอครับ และถึงจะมีเพียงส่วนน้อยจริงผมก็หวังว่าผู้อ่านจะได้รู้จักแนวคิดทฤษฎีที่แปลกใหม่บ้าง ไม่ใช่เปิดไปกระทู้ไหนๆก็มีแต่แนวคิดเดิมๆซ้ำไปวนมาอยู่ร่ำไป แหมทำเป็นเล่นไปนะครับไอ้เรื่องแนวคิดทฤษฎีแปลกๆพวกนี้ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน Arthur C. Clarke เคยแต่งนิยายเกี่ยวกับลิฟต์อวกาศสูง 600 กม. (Fountains of Paradise) สมัยนั้นคนก็มองว่าเป็นนิยายอ่านสนุกและฉลาดมากเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้กำลังจะเป็นความจริงแล้วครับ ในอังกฤษกำลังวิจัยวัสดุและออกแบบโครงสร้างของลิฟต์กันอยู่ อยากจะบอกว่าจินตนาการเป็นสิ่งมีค่าครับ -บางท่านที่บอกว่าผมจับเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มายำให้เข้ากับ Matrix นั้นก็อย่าว่ากันเลยครับ กระทู้นี้ต้องขอบอกว่าเป็นกระทู้เปิดใจ (Free your mind) กันดีกว่าครับ คิดเสียว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อ Matrix ก็แล้วกัน อาจจะมองในแง่ที่ผมเป็นคนชอบวิเคราะห์เชิงวิชาการและตั้งสมมุติฐานความเป็นไปได้ต่างๆ ตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ก็ได้ครับ และที่พยายามวิเคราะห์ในหลายประเด็น ก็เพราะอยากจะบอกว่าโลกเรามันกว้างครับ ไม่ใช่ว่าฉันมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ฉันก็จะต้องเชื่อว่า Matrix นั้นมาจากแนวคิดเรื่องสังคมอินเตอร์เน็ตที่ต้องอธิบายด้วยโปรแกรมเมอร์อยู่อย่างเดียว แนวคิดอื่นเป็นเรื่องจับเสริมเพิ่มแต่งกันไป แต่อย่าลืมว่าสังคมอินเตอร์เน็ตนั้นมีทุกอย่างครับ แค่คุณเปิดหน้า yahoo.com คุณก็จะเห็นหัวข้อเรื่องการเมือง บันเทิง ศาสนา ปรัชญา เทคโนโลยี อะไรต่างๆเหล่านี้ซ้อนทับกันอยู่ การมองในหลายด้านจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่หลากหลาย และเข้าใจยอมรับสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล และผมเชื่อว่าความคิดของคนเขียนบทหนังนั้นผ่านการสั่งสมมุมมอง และประสบการณ์ในหลายๆด้านมาอย่างแน่นอนครับ ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองกันไปดีกว่านะครับ -ขอบคุณผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นทุกคนครับ ตอนนี้กำลังหาเวลาว่างเพื่อเขียนวิเคราะห์ในส่วนของกลศาสตร์และคอมพิวเตอร์ คงต้องรอกันอีกสักพักน่ะครับ Filmlandscape